Thursday, October 29, 2009

สวรรค์ใจกลางกรุงเทพฯ (Heaven in downtown Bangkok)

ความตั้งใจที่อยากจะแชร์ประสบการณ์ ความรู้สึก และสิ่งดีๆ ให้กับทุกคนผ่านช่องทางนี้ ยังมีอยุ่นะครับ ถึงแม้ว่าจะห่างหายไปนานพอควร จริงๆก็มากกว่าสองปีด้วยซ้ำไป ฮ่าๆ มาวันนี้มันรู้สึกว่างๆ ก้เลยมาเขียนเล่าประสบการณ์ซะหน่อย

ผ่านไปกว่าสองปีที่ผ่านมาก็มีสิ่งดีๆ ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่ว่าไปก้มีสิ่งไม่ดีหลายอย่างเช่นกัน เอาเป้นว่าจะเอาเฉพาะสิ่งดีๆ มาเล่าให้ฟังแล้วกัน เนื่องจากว่าสิ่งต่างๆ นั้นมีมากมายเหลือเกิด ดังนั้นข้าน้อยจะขอเล่าแค่เรื่องเดียวแล้วกัน แล้วจะทยอยเล่าเรื่องอื่นตามแต่โอกาสนะค้าบ

ว่าแล้วก็เข้าเรื่องเลยเนะ คือว่าจากการที่ตนเองได้สนใจในธรรมะมากขึ้นโดยเริ่มจากครั้งแรกที่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่แดนมหามงคล ที่กาญจนบุรีมา ก็รู้สึกว่าชอบมากๆ โดยเฉพาะบรรยากาศ การพูดคุยของคนคอเดียวกัน มันทำให้รู้สึกว่าอบอุ่นและเป้นกันเองจริงๆ ได้สงบจิตใจอย่างที่มิอาหาได้ง่ายๆนัก ตั้งแต่กลับมาจากปฏิบัติธรรมครั้งนั้นก้ทำให้ผมได้เข้าวัดฟังธรรมอยู่เรื่อยมา ถึงแม้ไม่บ่อยแต่ก็จะไปเรื่อยๆ ตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย

ด้วยความที่เราอยู่ใน กทม ยี่งอยู่ในใจกลางเมืองแถวสุขุมวิทแล้วหละก้การเดินทางจะไปวัดที่สงบๆ หรือบรรยากาศที่ดีๆ ก็ค่อนข้างหาได้ยาก นอกจากจะมีเวลาหยุดต่อเนื่องอย่างน้อยสักสามวันเพื่อออกไปต่างจังหวัด ดังนั้นจึงมาคิดใจว่าเราจะไปที่ไหนใกล้ หรือเดินทางสะดวกๆ ได้บ้าง ว่าแล้วก็เลยค้นหาทางอินเตอร์เน็ตก็เจอหลายๆ ที่ แต่มักจะอยู่รอบนอกหรือเดินทางไม่สะดวกมากกว่า แต่แล้วก็นึกในใจได้ว่าเคยได้ยินรายการวิทยุธรรมะของวัดแห่งหนึ่งชื่อ ปทุมวนาราม ถนนพระราม 1 แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าคือวัดไหน อยู่ตรงไหนแน่ ก็เลยค้นต่อว่าวัดที่ว่านี้อยู่ตรงไหนของ กทม จะเดินทางสะดวกไป และยังแอบคิดในใจว่า อยู่แถวพระราม 1 นีมันใจกลางเมืองเลยนะ จะเหมาะเหรอ จะไม่วุ่นวายหรือไม่สงบแน่ๆ เลย ว่าแล้วก็ได้ข้อมูลว่าอยู่ติด paragon and central world นี่เอง โอ้วพระเจ้าอยู่ท่ามกลางแหล่ง shopping ระดับโลกนี่เอง เป้นไปได้ไง มันจะไปเงียบสงบได้ไง แต่เอาวะ ไม่ลองไปรู้ และที่สำคัญเดินทางสะดวก เลิกงานอยากไปก็ไปได้ทันที ว่าแล้วก็เลยไปลองดู

ลงรถไฟฟ้าสถานีสยามหน้าพารากอน เดินเลียบ skywalk ไปทางเซ็นทรัลเวิล มองซ้ายมือก้เห้นวัด ดูเผินๆ ก็ไม่เห้นว่าจะมีอะไรพิเศษ เห้นแต่เจดีย์อยู่สองสามอัน มองไปไกลทางด้านหลังก็เห็นต้นไม้ทึบอยู่บ้าง ถึงแล้วก็เลยเดินเข้าไปด้านใน ส่วนแรกของวัดก็ไม่ค่อยมีอะไร เลยเดินต่อไปด้านใน ก็เริ่มเห็นว่ามีทางเข้าเล็กๆ คล้ายๆ เดินเข้าไปในป่าอะไรทำนองนั้น พอเข้าไปในโซนป่าข้างในเริ่มรู้สึกว่า อุ้ย นี่มันอะไรเนี่ย ทำไมดูร่มรื่นเป็นพิเศษ ต้นไม้หนาแน่ บังเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีพอสมควร เหมือนกับว่าวัดนี้ไม่ได้อยู่ติดกับห้างระดับโลก แหล่งบันเทิงระดับห้าดาวประมาณนั้น ดูผิดกับโลกภายนอกรอบข้างมากๆ พอเข้าไปข้างในก็เห็นศาลาการเปรียญใหญ่สะอาดสะอ้าน สวยงาม เงียบสงบ น่าอยู่จริงๆ ก็เลยขึ้นไปไหว้พระและนั่งทำสมาธิทำให้รู้สึกสงบ สบาย บรรยากาศร่มรื่น เย็นสบายน่าอยู่ที่สุด ทำให้วันแรกที่ผมไปที่นี่รู้สึกในใจว่า กรุงเทพชั้นใน ใกล้แหล่งบันเทิงเช่นนี้ยังมี สวรรค์อยู่ใกล้อีกด้วย

ขอแนะนำสำหรับคนที่สนใจ มองหาสถานที่พักผ่อน ทำจิตให้สงบ เหนื่อยจากงาน ก็แนะนำให้มาแวะทำบุญฟังธรรม หรือจะนั่งสมาธิ ก้จะเป้นการดียิ่งครับ

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ใฝ่ในธรรม

ไว้คราหน้าจะมาแนะนำสิ่งดีๆ ใหม่ สำหรับท่านที่สนใจรายละเอียดเพิ่มก็สอบถามมาได้ ยินดีครับ

Monday, January 5, 2009

แดนมหามงคล

สวัสดีปีใหม่ทุกท่าน

ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมมา จึงอยากเอามาเล่าประสบการณ์ให้ทุกท่านได้รู้

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมเองมีความสนใจในเรื่องธรรมะและปรัชญาการดำเนินชีวิตอยู่บ้างแล้วแต่ยังไม่เคยไปปฏิบัติที่ไหนมาก่อน จากที่ได้ไปมาครั้งนี้มีความรู้สึกดีมากๆ จึงอยากแนะนำทุกท่านเพื่อเป็นกุศลให้ท่านที่สนใจ

สถานปฏิบัติที่ได้ไปมานั้นคือ สถาบันพัฒนาจิตบวชใจนานาชาติเพื่อสันติภาพ คนทั่วไปมักเรียกกันว่า เกาะมหามงคล หรือ แดนมหามงคง สถานที่ตั้งคือ
เลขที่ 149 หมู่ 1 บ้านช่องแคบ ก่อนถึงน้ำตกไทรโยคน้อย
ต.วังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

ก่อนที่ผมไปที่นี่ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดอะไรมาก แต่ได้ยินคนพูดมานิดหน่อยว่าเป็นสถานปฏิบัติธรรมที่มีแม่ชีเป็นคนนำ (จริงๆ ไม่ใช่แม่ชีนะครับ เพราะว่าท่านไม่ได้โกนผม แต่เรียกว่า อุบาสิกา หรือท่านแม่ ก็ได้) แต่ก็มีผู้ชายไปปฏิบัติเหมือนกัน แต่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง ผมจึงค้นหารายละเอียดเพิ่มจากเน็ตแต่ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลอะไรมากนักเลย มีแต่คนเคยเขียนไว้ในเวบบอร์ดว่าเคยไปและบอกว่าดีมากๆ เลยตัดสินใจไปที่นี่ ก่อนไปได้ข้อมูลเพียงว่านั้งรถไฟสายน้ำตกไปแล้วลงที่เกาะมหามงคลก็ถึงเลย ว่าแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทาง วันนั้นเป็นวันเสาร์ผมไปขึ้นรถไฟตอนเช้า ที่สถานีธนบุรี หรือสถานีบางกอกน้อย (อยู่ไม่ไกลจาก รพ. ศิริราช มากนัก) รถไฟกำหนดออก 7.45 น. แต่ธรรมดาครับ เมืองไทย กว่ารถจะออกได้ก็เกือบ 8.15 น. กำหนดถึงปลายทางประมาณ 12.15 น. แต่ไปถึงก็ปาเข้าไป 14.30 น. ระหว่างที่ผมรถรถไฟอยู่ที่สถานีธนบุรีก็เห็นคนใส่ชุดขาวเหมือนจะไปปฏิบัติกันเยอะพอสมควร ผมก็เดาว่าน่าจะไปที่เดียวกันแน่เลย พอถึงสถานีเกาะมหามงกคลก็เป็นอย่างที่เราเดาไว้จริงๆ เพราะคนที่ใส่ชุดขาวนั้นลงที่นี่กันหมดเลย ช่วงระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะเยอะมากๆ เพราะระหว่างเส้นทางจะมีจุดท่องเที่ยวหลายจุด

พอลงรถไฟสถานีเกาะมหามงคล ผมก็ไม่รู้ว่าสถานปฏิบัติที่ว่านี้จะอยู่ตรงไหน ก็เลยมองหาคนที่น่าจะไปที่เดียวกัน ผมเลยมองหาคนที่ใส่ชุดขาวและก็เข้าไปถามทางทันที และโชคดีครับคนที่ผมถามก็จะไปที่เดียวกัน แต่จริงๆแล้ว สถานที่ก็อยู่ใกล้ๆ เส้นทางรถไฟครับ เดือนไปห้านาทีก็ถึงแล้ว เนื่องจากเป็นช่วงหยุดยาว คนจะเยอะมาก เท่าที่ประมาณคร่าวๆ ไม่น่าจะต่ำกว่าสองพันคน และคนที่ไปจะพักค้างคืนกันตั้งแต่หนึ่งคืนถึงสี่ ห้าคืนก็มี เข้าไปถึงตอนแรกต้องไปที่จุดลงทะเบียนก่อน จะมีคนคอยบริการ และถ้าเราไม่ได้เตรียมชุดหรือสิ่งของจำเป็นไปก็จะมีจุดให้ซื้อได้ ราคาพอๆกันกับท้องตลาด เสร็จแล้วจะอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดขาวและจะมีคนนำไปเข้าที่พัก จะมีที่พักแยกชายหญิง ที่พักก็จะเป็นกระท่อมเล็กๆ จะมีผ้าใบมุงข้าง หลังคาเป็นหญ้า ผมเดาว่าถ้าไปเป็นหน้าฝนอาจจะลำบากนิดนึง

พูดถึงสถานที่โดยรวม ผมว่าเป็นสถานที่ที่ร่มรื่นมากๆ เท่าที่เคยเห็นมา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแคว และรอบล้อมด้วยแมกไม้และภูเขา สวยงาม ร่มเย็นเป็นที่สุด พื้นที่กว้างใหญ่ มีศาลาอยู่หลายจุด มีจุดเด่นอยู่หลายอย่าง เช่น มีเจดีย์ที่ปลายยอดเขา มองจากด้านล่างจะเห็นเด่นเป็นตระหง่า โดยเฉพาะตอนกลางคืน ท่านจะเปิดไฟส่งไปที่เจดีย์มองเป็นเป็นสีทองงดงามจริงๆ ที่สำคัญคืออยู่สูงมากบันใดกว่าพันขั้น ใครได้เดินขึ้นไป คงมีบุญวาสนาจริงๆ ผมขึ้นไปใช้เวลาเกือบชั่วโมง พักเหนื่อยตั้งหลายรอบกว่าจะถึง ข้างบนจะสงบเงียบมาก ไม่ให้ถ่ายภาพหรือวีดีโอ ที่นี่มีไว้ให้คนปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน ดังนั้นจะห้ามส่งเสียงดัง เหมาะมากๆสำหรับคนที่ต้องคงการความสงบเพื่อปฏิบัติสมาธิ ในเจดีย์ยังมีองค์พระทำจากไม้จันทร์หอม จริงๆมีอีกองค์ที่ศาลาในปฏิบัติด้านล่าง ตรงนี้จะเป็นองค์ใหญ่กว่ามาก และมีความหอมจริงๆ เดินไปใกล้ๆ จะรู้สึกได้ถึงความหอม

อันนึงที่แปลกใจมากๆ คือคนที่ปฏิบัติและดูสถานที่นี้เป็นผู้หญิงล้วนๆ ทำทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องไฟฟ้าอิเล็คทรอนิค เก่งจริงๆ ระบบการจัดการทุกอย่างดูแลกันเอง ทำได้เป็นระบบที่สุดยอดมาก

นอกจากนั้นอาหารก็ทำได้ดีมากๆ มีโรงอาหารที่สะอาดสะอ้าน อาหารที่นี่จะเป็นมังสะวิรัต สำหรับคนที่ไปปฏิบัติธรรมจะให้ทานได้สองมื้อคือเช้า ตอนเจ็ดโมงและอีกครั้งไม่เกินเที่ยง ส่วนตอนบ่าจะให้ดื่มน้ำปานะได้

เป็นที่น่าสังเกตว่าที่นี่จะไม่มีตู้รับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น ผิดกับวัดทั่วไปที่ต้องมีตู้รับบริจาคแทบทุกย่างก้าว ที่นี่ไม่มีอย่างนั้นเลย และจะไม่เห็นว่าใครเอาอะไรมาถวายทานที่นี่ ปกติเราจะเห็นตามวัดว่าใครถวายอะไรเขียนชื่อวงศ์ตระกูลติดไว้เต็มไปหมด แต่สำหรับที่นี่แล้วไม่เห็นเลยสักที่เดียว ท่านบอกว่าการมาถวายทานที่นี่จะไม่มีการแสดงตัว ให้ทำแล้วปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับสิ่งที่ตนทำ ให้ทำด้วยใจอย่างแท้จริง อันนี้เป็นที่น่าเลื่อมใสมากๆ โดยเฉพาะคนที่มาถวายน่านับถือจริงๆ

พูดถึงการปฏิบัติ ที่นี่จะเน้นหลักการง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เช่น ฝึกหัดนั่งสมาธิแบบง่ายๆ กำหนดลมหายใจ และการฝึกเดินจงกลม ไม่ต้องมีท่องอะไรให้ยุ่งยาก แต่เน้นความสงบเงียบ เรียบง่าย ภาระกิจประจำวันก็ ให้ตื่นประมาณตีสามแล้วรวมกันตีสี่ เพื่อทำวัตรเช้าถึงเกือนหกโมงเช้า ระหว่างนี้จะมีท่านแม่คอยพูดหลักธรรมการดำเนินชีวิตด้วย จากนั้นก็ทานอาหารเช้า เสร็จก็ประมาณเกือบแปดโมง จากนั้นก็จะมีการทำภารกิจ เช่นกวาดไปไม้ ล้างห้องน้ำ จากนั้นอาจจะมีการนัดหมายให้ ไปฝึกสมาธิ แล้วแต่วัน ส่วนการทานอาหารมื้อที่งนั้นจะให้ไปได้ไม่เกินเที่ยง แล้วแต่เราว่าจะทานไหม ดังนั้นจะไม่พร้อมกัน ส่วนผมก็ต้องทานครับ ไม่ไหวยังไม่ชิน

ช่วงเย็นจะมีการทำวัตรเย็นจะมีการทำวัตรเย็นตอนหกโมงเย็นถึงสองทุ่ม จะนั้นก็แยกกันเข้าที่พัก

ผมมีโอกาสได้ไปปฏิบัติที่นั่นก็สามคืนกับสี่วัน รู้สึกประทับใจมากๆ ผู้คนที่เข้าไปในนั้นน้ำใจงาม พูดจากไพเราะ สุภาพกันทั่วหน้า ช่างต่างจากโลกภายนอกที่เราอยู่กันจริง ส่วนตัวแล้วต้องหาโอกาสไปอีกรอบแน่ๆ ครับ

มีข้อแนะนำสำหรับท่านที่จะไปคร่าวๆครับ
เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ให้พร้อม ได้แก่
-ชุดขาว ควรมีให้พอกับจำนวนวันที่ไป ระหว่างที่อยู่ในที่นั้นต้องเป็นชุดขาวตลอดเวลา
-รองเท้าแตะ จะได้ถาดง่ายครับ เพราะต้องถอดบ่อยมาก ก่อนขึ้นศาลายังต้องล้างเท้าทุกครั้ง
-ไฟฉาย เนื่องจากกลางคืนไม่มีไฟให้ที่พัก ดังนั้นต้องเตรียม
-ถุงย่าม เพราะของมีค่าเราควรติดตัวไว้ กันไว้ก่อนครับ
-ชุดอาบน้ำและของใช้ส่วนตัว
-ผ้าห่มและหมอน ส่วนเสื่อมีให้
-ขวดน้ำดื่ม เอาไว้กรอกน้ำไว้ที่พักเรา
-มุ้ง น่าจะมีกันไว้ครับ สำหรับคนแพ้ยุง

สำหรับการเดินทางผมแนะนำว่า ควรนั่งรถไฟ เวลา 7.45 ที่สถานีธนบุรี จะไปถึงช่วงบ่าย กำลังดีจะได้เดินรอบได้ แต่บอกก่อนว่าไม่มีอาหารตอนบ่ายให้นะครับ ดังนั้นก่อนเข้าไปก็ควรทานอะไรให้เสร็จก่อน ส่วนขากลับแนะนำว่ารถไฟรอบ 13.30 น. กำลังดี เพราะตอนเช้าควรปฏิบัติภารกิจให้เรียบร้อย ทานอาหารเที่ยงด้านในก่อนที่จะออกมาขึ้นรถ และกลับถึง กทม. ก็คงประมาณ ทุ่มนึงได้ครับ

สุดท้ายก็ขออนุโมทนาบุญให้ทุกท่านได้ประสบความสำเร็จดังใจหวังครับ ไม่แน่อาจะได้เจอกันที่ในแดนมหามงคลสักครั้งก็เป็นได้ครับ

ท่านใดทีสนใจต้องการทราบเพิ่มเติมก็ Leave a comment here then I will get back to you as soon as I can