Monday, January 5, 2009

แดนมหามงคล

สวัสดีปีใหม่ทุกท่าน

ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมมา จึงอยากเอามาเล่าประสบการณ์ให้ทุกท่านได้รู้

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมเองมีความสนใจในเรื่องธรรมะและปรัชญาการดำเนินชีวิตอยู่บ้างแล้วแต่ยังไม่เคยไปปฏิบัติที่ไหนมาก่อน จากที่ได้ไปมาครั้งนี้มีความรู้สึกดีมากๆ จึงอยากแนะนำทุกท่านเพื่อเป็นกุศลให้ท่านที่สนใจ

สถานปฏิบัติที่ได้ไปมานั้นคือ สถาบันพัฒนาจิตบวชใจนานาชาติเพื่อสันติภาพ คนทั่วไปมักเรียกกันว่า เกาะมหามงคล หรือ แดนมหามงคง สถานที่ตั้งคือ
เลขที่ 149 หมู่ 1 บ้านช่องแคบ ก่อนถึงน้ำตกไทรโยคน้อย
ต.วังกระแจะ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

ก่อนที่ผมไปที่นี่ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดอะไรมาก แต่ได้ยินคนพูดมานิดหน่อยว่าเป็นสถานปฏิบัติธรรมที่มีแม่ชีเป็นคนนำ (จริงๆ ไม่ใช่แม่ชีนะครับ เพราะว่าท่านไม่ได้โกนผม แต่เรียกว่า อุบาสิกา หรือท่านแม่ ก็ได้) แต่ก็มีผู้ชายไปปฏิบัติเหมือนกัน แต่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง ผมจึงค้นหารายละเอียดเพิ่มจากเน็ตแต่ปรากฏว่าไม่มีข้อมูลอะไรมากนักเลย มีแต่คนเคยเขียนไว้ในเวบบอร์ดว่าเคยไปและบอกว่าดีมากๆ เลยตัดสินใจไปที่นี่ ก่อนไปได้ข้อมูลเพียงว่านั้งรถไฟสายน้ำตกไปแล้วลงที่เกาะมหามงคลก็ถึงเลย ว่าแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทาง วันนั้นเป็นวันเสาร์ผมไปขึ้นรถไฟตอนเช้า ที่สถานีธนบุรี หรือสถานีบางกอกน้อย (อยู่ไม่ไกลจาก รพ. ศิริราช มากนัก) รถไฟกำหนดออก 7.45 น. แต่ธรรมดาครับ เมืองไทย กว่ารถจะออกได้ก็เกือบ 8.15 น. กำหนดถึงปลายทางประมาณ 12.15 น. แต่ไปถึงก็ปาเข้าไป 14.30 น. ระหว่างที่ผมรถรถไฟอยู่ที่สถานีธนบุรีก็เห็นคนใส่ชุดขาวเหมือนจะไปปฏิบัติกันเยอะพอสมควร ผมก็เดาว่าน่าจะไปที่เดียวกันแน่เลย พอถึงสถานีเกาะมหามงกคลก็เป็นอย่างที่เราเดาไว้จริงๆ เพราะคนที่ใส่ชุดขาวนั้นลงที่นี่กันหมดเลย ช่วงระหว่างทางนักท่องเที่ยวจะเยอะมากๆ เพราะระหว่างเส้นทางจะมีจุดท่องเที่ยวหลายจุด

พอลงรถไฟสถานีเกาะมหามงคล ผมก็ไม่รู้ว่าสถานปฏิบัติที่ว่านี้จะอยู่ตรงไหน ก็เลยมองหาคนที่น่าจะไปที่เดียวกัน ผมเลยมองหาคนที่ใส่ชุดขาวและก็เข้าไปถามทางทันที และโชคดีครับคนที่ผมถามก็จะไปที่เดียวกัน แต่จริงๆแล้ว สถานที่ก็อยู่ใกล้ๆ เส้นทางรถไฟครับ เดือนไปห้านาทีก็ถึงแล้ว เนื่องจากเป็นช่วงหยุดยาว คนจะเยอะมาก เท่าที่ประมาณคร่าวๆ ไม่น่าจะต่ำกว่าสองพันคน และคนที่ไปจะพักค้างคืนกันตั้งแต่หนึ่งคืนถึงสี่ ห้าคืนก็มี เข้าไปถึงตอนแรกต้องไปที่จุดลงทะเบียนก่อน จะมีคนคอยบริการ และถ้าเราไม่ได้เตรียมชุดหรือสิ่งของจำเป็นไปก็จะมีจุดให้ซื้อได้ ราคาพอๆกันกับท้องตลาด เสร็จแล้วจะอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดขาวและจะมีคนนำไปเข้าที่พัก จะมีที่พักแยกชายหญิง ที่พักก็จะเป็นกระท่อมเล็กๆ จะมีผ้าใบมุงข้าง หลังคาเป็นหญ้า ผมเดาว่าถ้าไปเป็นหน้าฝนอาจจะลำบากนิดนึง

พูดถึงสถานที่โดยรวม ผมว่าเป็นสถานที่ที่ร่มรื่นมากๆ เท่าที่เคยเห็นมา ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแคว และรอบล้อมด้วยแมกไม้และภูเขา สวยงาม ร่มเย็นเป็นที่สุด พื้นที่กว้างใหญ่ มีศาลาอยู่หลายจุด มีจุดเด่นอยู่หลายอย่าง เช่น มีเจดีย์ที่ปลายยอดเขา มองจากด้านล่างจะเห็นเด่นเป็นตระหง่า โดยเฉพาะตอนกลางคืน ท่านจะเปิดไฟส่งไปที่เจดีย์มองเป็นเป็นสีทองงดงามจริงๆ ที่สำคัญคืออยู่สูงมากบันใดกว่าพันขั้น ใครได้เดินขึ้นไป คงมีบุญวาสนาจริงๆ ผมขึ้นไปใช้เวลาเกือบชั่วโมง พักเหนื่อยตั้งหลายรอบกว่าจะถึง ข้างบนจะสงบเงียบมาก ไม่ให้ถ่ายภาพหรือวีดีโอ ที่นี่มีไว้ให้คนปฏิบัติสมาธิกรรมฐาน ดังนั้นจะห้ามส่งเสียงดัง เหมาะมากๆสำหรับคนที่ต้องคงการความสงบเพื่อปฏิบัติสมาธิ ในเจดีย์ยังมีองค์พระทำจากไม้จันทร์หอม จริงๆมีอีกองค์ที่ศาลาในปฏิบัติด้านล่าง ตรงนี้จะเป็นองค์ใหญ่กว่ามาก และมีความหอมจริงๆ เดินไปใกล้ๆ จะรู้สึกได้ถึงความหอม

อันนึงที่แปลกใจมากๆ คือคนที่ปฏิบัติและดูสถานที่นี้เป็นผู้หญิงล้วนๆ ทำทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องไฟฟ้าอิเล็คทรอนิค เก่งจริงๆ ระบบการจัดการทุกอย่างดูแลกันเอง ทำได้เป็นระบบที่สุดยอดมาก

นอกจากนั้นอาหารก็ทำได้ดีมากๆ มีโรงอาหารที่สะอาดสะอ้าน อาหารที่นี่จะเป็นมังสะวิรัต สำหรับคนที่ไปปฏิบัติธรรมจะให้ทานได้สองมื้อคือเช้า ตอนเจ็ดโมงและอีกครั้งไม่เกินเที่ยง ส่วนตอนบ่าจะให้ดื่มน้ำปานะได้

เป็นที่น่าสังเกตว่าที่นี่จะไม่มีตู้รับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น ผิดกับวัดทั่วไปที่ต้องมีตู้รับบริจาคแทบทุกย่างก้าว ที่นี่ไม่มีอย่างนั้นเลย และจะไม่เห็นว่าใครเอาอะไรมาถวายทานที่นี่ ปกติเราจะเห็นตามวัดว่าใครถวายอะไรเขียนชื่อวงศ์ตระกูลติดไว้เต็มไปหมด แต่สำหรับที่นี่แล้วไม่เห็นเลยสักที่เดียว ท่านบอกว่าการมาถวายทานที่นี่จะไม่มีการแสดงตัว ให้ทำแล้วปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับสิ่งที่ตนทำ ให้ทำด้วยใจอย่างแท้จริง อันนี้เป็นที่น่าเลื่อมใสมากๆ โดยเฉพาะคนที่มาถวายน่านับถือจริงๆ

พูดถึงการปฏิบัติ ที่นี่จะเน้นหลักการง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เช่น ฝึกหัดนั่งสมาธิแบบง่ายๆ กำหนดลมหายใจ และการฝึกเดินจงกลม ไม่ต้องมีท่องอะไรให้ยุ่งยาก แต่เน้นความสงบเงียบ เรียบง่าย ภาระกิจประจำวันก็ ให้ตื่นประมาณตีสามแล้วรวมกันตีสี่ เพื่อทำวัตรเช้าถึงเกือนหกโมงเช้า ระหว่างนี้จะมีท่านแม่คอยพูดหลักธรรมการดำเนินชีวิตด้วย จากนั้นก็ทานอาหารเช้า เสร็จก็ประมาณเกือบแปดโมง จากนั้นก็จะมีการทำภารกิจ เช่นกวาดไปไม้ ล้างห้องน้ำ จากนั้นอาจจะมีการนัดหมายให้ ไปฝึกสมาธิ แล้วแต่วัน ส่วนการทานอาหารมื้อที่งนั้นจะให้ไปได้ไม่เกินเที่ยง แล้วแต่เราว่าจะทานไหม ดังนั้นจะไม่พร้อมกัน ส่วนผมก็ต้องทานครับ ไม่ไหวยังไม่ชิน

ช่วงเย็นจะมีการทำวัตรเย็นจะมีการทำวัตรเย็นตอนหกโมงเย็นถึงสองทุ่ม จะนั้นก็แยกกันเข้าที่พัก

ผมมีโอกาสได้ไปปฏิบัติที่นั่นก็สามคืนกับสี่วัน รู้สึกประทับใจมากๆ ผู้คนที่เข้าไปในนั้นน้ำใจงาม พูดจากไพเราะ สุภาพกันทั่วหน้า ช่างต่างจากโลกภายนอกที่เราอยู่กันจริง ส่วนตัวแล้วต้องหาโอกาสไปอีกรอบแน่ๆ ครับ

มีข้อแนะนำสำหรับท่านที่จะไปคร่าวๆครับ
เตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ให้พร้อม ได้แก่
-ชุดขาว ควรมีให้พอกับจำนวนวันที่ไป ระหว่างที่อยู่ในที่นั้นต้องเป็นชุดขาวตลอดเวลา
-รองเท้าแตะ จะได้ถาดง่ายครับ เพราะต้องถอดบ่อยมาก ก่อนขึ้นศาลายังต้องล้างเท้าทุกครั้ง
-ไฟฉาย เนื่องจากกลางคืนไม่มีไฟให้ที่พัก ดังนั้นต้องเตรียม
-ถุงย่าม เพราะของมีค่าเราควรติดตัวไว้ กันไว้ก่อนครับ
-ชุดอาบน้ำและของใช้ส่วนตัว
-ผ้าห่มและหมอน ส่วนเสื่อมีให้
-ขวดน้ำดื่ม เอาไว้กรอกน้ำไว้ที่พักเรา
-มุ้ง น่าจะมีกันไว้ครับ สำหรับคนแพ้ยุง

สำหรับการเดินทางผมแนะนำว่า ควรนั่งรถไฟ เวลา 7.45 ที่สถานีธนบุรี จะไปถึงช่วงบ่าย กำลังดีจะได้เดินรอบได้ แต่บอกก่อนว่าไม่มีอาหารตอนบ่ายให้นะครับ ดังนั้นก่อนเข้าไปก็ควรทานอะไรให้เสร็จก่อน ส่วนขากลับแนะนำว่ารถไฟรอบ 13.30 น. กำลังดี เพราะตอนเช้าควรปฏิบัติภารกิจให้เรียบร้อย ทานอาหารเที่ยงด้านในก่อนที่จะออกมาขึ้นรถ และกลับถึง กทม. ก็คงประมาณ ทุ่มนึงได้ครับ

สุดท้ายก็ขออนุโมทนาบุญให้ทุกท่านได้ประสบความสำเร็จดังใจหวังครับ ไม่แน่อาจะได้เจอกันที่ในแดนมหามงคลสักครั้งก็เป็นได้ครับ

ท่านใดทีสนใจต้องการทราบเพิ่มเติมก็ Leave a comment here then I will get back to you as soon as I can